เพราะทุกครั้งที่เลือกซื้อแอร์ต้องเลือก BTU แอร์ให้เหมาะกับขนาดห้องก่อนเสมอ อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า BTU ซึ่งย่อมาจาก British Thermal Unit คือหน่วยที่ใช้วัดขนาดในการทำความเย็นของแอร์ ดังนั้นการคำนวณพื้นที่ห้องก่อนที่จะเลือกซื้อแอร์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากการเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน
วิธีคำนวณพื้นที่ขนาดห้องให้เป็นตารางเมตรเพื่อเลือก BTU แอร์ให้เหมาะสม
ตารางเมตร คิดยังไง? วิธีการคำนวณ BTU ให้เหมาะสมกับห้องขนาดห้องควรเลือกแบบไหน แคเรียร์จะมาเคลียร์ทุกคำตอบ
ก่อนที่จะรู้วิธีการคำนวณ มาทำความเข้าใจกับ “หน่วย” ของพื้นที่กันก่อน โดยทั่วไปแล้ว หน่วยของพื้นที่ที่อยู่อาศัยจะมีด้วยกัน 2 หน่วยหลัก ๆ คือ ตารางวา (ตร.ว.) และตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งแต่ละหน่วยจะใช้แตกต่างกัน “ตารางวา จะใช้กับการพูดถึงที่ดิน” และสำหรับ “ตารางเมตร จะใช้สำหรับพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด” ซึ่งวิธีการเทียบค่าระหว่างหน่วย ตารางวา กับ ตารางเมตร จำได้ง่าย ๆ คือ 1 ตารางวา จะเท่ากับ 4 ตารางเมตร
ยกตัวอย่างวิธีการคำนวณพื้นที่ใช้สอย หรือห้องของคุณให้เป็นตารางเมตรได้ตามด้านล่างนี้
กรณีที่เป็นพื้นห้องของคุณที่ต้องการจะรู้ว่ามีกี่ตารางเมตร ให้ทำการตรวจสอบห้องคุณด้วยการทราบถึงขนาดห้องว่ามีความกว้าง และความยาว อย่างละกี่เมตรก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นให้นำมาคำนวณพื้นที่เป็นตารางเมตรได้ไม่ยาก ด้วยสูตรพื้นที่กว้าง X ยาว อย่างเช่น ห้องนอนมีขนาดกว้าง 4.5 เมตร และยาว 6 เมตร นำไปคิดเป็นหน่วยตารางเมตรจะเท่ากับ 4.5 X 6 = 27 ตารางเมตร
จากนั้นให้คุณนำพื้นที่ตารางเมตรที่ได้ไปคำนวณ BTU ที่เหมาะสมกับห้องขนาดต่าง ๆ เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างเต็มที่ ช่วยประหยัดค่าไฟ และทำให้แอร์มีอายุการใช้งานในระยะยาว สำหรับวิธีการคำนวน BTU ที่เหมาะสมกับห้องขนาด จะมีปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มตามนี้
1. ขนาดห้องของหน้าต่าง ขนาดของประตู หรือหน้าต่างกระจก รวมไปถึงมุมต่าง ๆ ของห้อง
2. ทิศทางของห้องว่ารับแสงแดด และโดนแดดมากน้อยแค่ไหน มีระดับความแตกต่างที่เป็นระดับความร้อนในช่วงเวลากลางวัน และกลางคืนที่แตกต่างกัน
3. วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อนช่วยลดความร้อนใต้หลังคา
4. จำนวนผู้อาศัย หรือจำนวนคนที่อยู่ภายในห้อง รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
5. ความถี่ในการเปิด-ปิดประตู และความถี่ในการเข้า-ออก
ค่า BTU = พื้นที่ของห้อง (ขนาดกว้าง x ยาว) x ระดับความแตกต่าง อธิบายเพิ่มเติมคือ พื้นที่กว้าง x ยาว ของห้องจะใช้หน่วยเป็นเมตร เมื่อได้พื้นที่ที่เป็นตารางเมตรเรียบร้อยแล้วให้นำไป x กับระดับความแตกต่าง ซึ่งสำหรับระดับความแตกต่างที่เป็นระดับความร้อนในช่วงเวลากลางวัน และกลางคืน จะมีค่าระดับความต่างจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- ห้องที่ใช้เฉพาะเวลากลางคืน มีความร้อนน้อย ระดับความต่างประมาณ 700
- ห้องที่ใช้ตอนกลางวันบ่อย ๆ มีอัตราความร้อนสูง ระดับความต่างประมาณ 800
ในการเลือก BTU ที่เพียงพอ และเหมาะสม มีสูตรการคำนวณ BTU คือ
BTU = พื้นที่ห้อง (กว้าง x ยาว ) x ตัวแปรความแตกต่าง
ตัวแปรความแตกต่างจะมีตามนี้ เลือกให้เหมาะสมแล้วนำไปคำนวณเพื่อหาค่า BTU
- 700 สำหรับห้องนอนปกติ
- 800 สำหรับห้องนอนโดนแดด
- 800 สำหรับห้องทำงาน ปกติ
- 900 สำหรับห้องทำงาน และโดนแดด
- 950 – 1,100 สำหรับร้านอาหาร ร้านทำผม มินิมาร์ท ร้านค้า สำนักงาน
- 1,000 – 1,200 สำหรับร้านอาหาร ร้านค้า สำนักงาน
- 1,100 – 1,500 ห้องประชุม ห้องสัมมนาร้านอาหารชาบู ปิ้งย่าง หรือร้านอาหารที่มีหม้อต้มหรือเตาความร้อนสูง หรือห้องที่มีจำนวนคนต่อพื้นที่เยอะกว่าปกติหลายเท่า
ตัวอย่างการคำนวณ
ห้องนอนที่ไม่ค่อยโดดแดด กว้าง 4.5 เมตร ยาว 6 เมตร จะได้ค่า BTU เท่ากับ
BTU = [4.5 เมตร x 6 เมตร] x 700
= 27 ตารางเมตร x 700
= 18,900
นั่นหมายความว่าห้องนอนของคุณควรใช้แอร์ที่ระดับ 18,900 BTU
สามารถยึดเกณฑ์การเลือก BTU แอร์ได้ดังนี้
เครื่องปรับอากาศขนาด 8,500 BTU
- เหมาะกับห้องขนาด 10-12 ตรม. ที่ไม่โดนแดดจัด
- เหมาะกับห้องขนาด 7-9 ตรม. ที่ต้องรับแดดมาก
เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU
- เหมาะกับห้องขนาด 14-16 ตรม. ที่ไม่โดนแดดจัด
- เหมาะกับห้องขนาด 11-13 ตรม. ที่ต้องรับแดดมาก
เครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU
- เหมาะกับห้องขนาด 22-24 ตรม. ที่ไม่โดนแดดจัด
- เหมาะกับห้องขนาด 19-21 ตรม. ที่ต้องรับแดดมาก
เครื่องปรับอากาศขนาด 20,400 BTU
- เหมาะกับห้องขนาด 25-27 ตรม. ที่ไม่โดนแดดจัด
- เหมาะกับห้องขนาด 22-24 ตรม. ที่ต้องรับแดดมาก
เครื่องปรับอากาศขนาด 25,200 BTU
- เหมาะกับห้องขนาด 31-33 ตรม. ที่ไม่โดนแดดจัด
- เหมาะกับห้องขนาด 28-30 ตรม. ที่ต้องรับแดดมาก
ซี่งโดยปกติแล้วพื้นที่ห้องที่เลือกแอร์ที่มีค่า BTU ที่สูงเกินไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ที่ทำงานนั้นเกิดการตัดบ่อย และส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของแอร์ลดลง ทำให้เกิดความชื้นในห้องสูง จะรู้สึกไม่สบายตัวตอนเปิดแอร์ได้
ในทางกลับกันหากคุณเลือก BTU ที่มีค่าต่ำเกินไป คอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานหนักตลอดเวลา ความเย็นของห้องคุณจะไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าการเลือกแอร์ที่มีค่า BTU พอดีกับขนาดห้อง และทำให้อายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศสั้น เครื่องปรับอากาศมีโอกาสเสียเร็วกว่าเดิมอีกด้วย
สงสัยเกี่ยวกับการคำนวณค่า BTU แคเรียร์ช่วยได้
สามารถคำนวณค่า BTU ได้อย่างแม่นยำกับแคเรียร์ คลิก เพราะการเลือกขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ห้องเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากค่า BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้องจะทำให้เครื่องปรับอากาศสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หมดกังวลเรื่องแอร์ไม่เย็น อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าไฟ และทำให้ไม่สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่ใช่เหตุอีกด้วย
เมื่อคุณได้ค่า BTU ที่เหมาะกับห้องของคุณเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ อย่างเครื่องปรับอากาศแคเรียร์ “นวัตกรรมความเย็นเพื่อความสุข” ได้รับการการันตีเรื่องความประหยัดไฟจากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และประหยัดค่าไฟได้มากกว่าเดิม ในระดับประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 5 ดาว จากการทดสอบของ กฟผ. และกระทรวงพลังงาน สามารถเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเพิ่มเติมได้ที่ https://carrierthailand.com/air-conditioner/air-conditioner-01/