ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน ทำให้ภูมิอากาศในประเทศเป็นแบบร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 18-38 องศาเซลเซียส และมีฤดูร้อนยาวนานถึง 3 เดือน แน่นอนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหลัก ๆ ที่เรามักจะซื้อมาติดตั้งเป็นอันดับแรก ๆ เลยก็คือ เครื่องปรับอากาศ หรือ “แอร์” ซึ่งเป็นตัวช่วยที่จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะมาแจกวิธีคำนวณขนาด btu แอร์ โดยเฉพาะแอร์ 12,000 btu เหมาะกับห้องขนาดไหน? กี่ ตร.ม.? กินไฟกี่วัตต์? ค่าไฟเฉลี่ยกี่บาทต่อเดือน? พร้อมเคล็ดลับเปิดแอร์เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ? บทความนี้มีคำตอบ
แอร์ 12,000 BTU เหมาะกับห้องขนาดไหน? กี่ ตร.ม.
หน่วย BTU ของแอร์ ย่อมาจาก British Thermal Unit ซึ่งเป็นหน่วยที่ใช้บ่งบอกถึงความสามารถในการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยสามารถใช้สูตรคำนวณโดยประมาณ ดังนี้
BTU = ขนาดห้อง (กว้าง x ยาว) x ค่ามาตรฐานในการใช้งาน
โดยค่ามาตรฐานในการใช้งานสามารถแบ่งออกได้เป็น
- ห้องนอน และห้องที่ใช้พักผ่อน ซึ่งไม่ร้อนมาก = 700 BTU/ตร.ม.
- ห้องทำงาน และห้องรับแขก ซึ่งมีการใช้ไฟฟ้า หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก = 800-900 BTU/ตร.ม.
- ร้านอาหาร และห้องครัว ซึ่งมีความร้อนเกิดขึ้นมาก = 1,000-1,200 BTU/ตร.ม.
ตัวอย่างการคำนวน:
- ห้องทำงาน กว้าง 4 เมตร ยาว 4 เมตร ดังนั้นขนาดห้องทำงาน = 4 x 4 = 16 ตร.ม.
- ขนาด BTU = 16 x 800 หรือ 900 ดังนั้น BTU ที่เหมาะสม = 12,800-14,400 BTU
- หากห้องทำงานได้รับแสงแดดโดยตรง สามารถคำนวนเพิ่ม BTU เข้าไปอีก 10% = 14,080-15,840 BTU
ดังนั้น แอร์ 12,000 BTU จึงเหมาะกับห้องที่มีขนาด ดังนี้
- ห้องขนาดไม่เกิน 16 ตร.ม. ที่ได้รับแสงแดดโดยตรง หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก
- ห้องขนาดประมาณ 16-20 ตร.ม. ที่ไม่ได้รับแสงแดดโดยตรง
- ห้องขนาด 20 ตร.ม. ที่ไม่ได้รับแสงแดดเลย อยู่ในร่ม หรือมีร่มเงา และเปิดใช้งานไม่บ่อยนัก
ซื้อแอร์ 12,000 BTU ฉลากเบอร์ 5 ดาวยิ่งสูงยิ่งดี
โดยปกติแล้ว แอร์ 12,000 BTU จะใช้กำลังไฟประมาณ 900-1,300 วัตต์/ชม. หรือประมาณ 4,500 บาทต่อเดือน แต่สิ่งที่สำคัญในการเลือกซื้อก็คือฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่มีดาวสูงนั่นเอง โดยทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ประกาศใช้ในปี 2567 และแบ่งค่าดาวออกเป็น 0-5 ซึ่งแอร์ที่มีฉลาก 5 ดาวจะมีค่า SEER สูง หรือหมายถึงสามารถประหยัดไฟได้สูงสุดเลยทีเดียว
- แอร์ธรรมดา (Non-Inverter) ฉลากเบอร์ 5 ที่มี 5 ดาวจะมีค่า SEER สูงสุดไม่เกิน 15.85 และมีค่าไฟประมาณ 716 บาทต่อเดือนโดยเฉลี่ยตามการใช้งานทั่วไปวันละ 8 ชั่วโมง เทียบกับฉลากเบอร์ 5 ที่ไม่มีดาวที่มีค่า SEER สูงสุดที่ 13.70 กลับมีค่าไฟโดยเฉลี่ยที่ 831 บาทต่อเดือนด้วยกัน
- แอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ฉลากเบอร์ 5 ที่มี 5 ดาวจะมีค่า SEER สูงสุดไม่เกิน 24.56 และมีค่าไฟประมาณ 458 บาทต่อเดือนโดยเฉลี่ยตามการใช้งานทั่วไปวันละ 8 ชั่วโมง เทียบกับฉลากเบอร์ 5 ที่ไม่มีดาวที่มีค่า SEER สูงสุดที่ 13.70 กลับมีค่าไฟโดยเฉลี่ยที่ 611 บาทต่อเดือนด้วยกัน
จะเห็นได้ว่ายิ่งค่า SEER สูงยิ่งช่วยให้แอร์ประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลย แม้ว่าจะมีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เหมือนกันก็ตาม ซึ่งดาวหรือค่าประสิทธิภาพของแอร์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อแอร์ใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม
เคล็ดลับวิธีช่วยแอร์ 12,000 BTU ประหยัดไฟ
เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ? เรามาดูวิธีช่วยแอร์ 12,000 BTU ประหยัดไฟกันดีกว่า
- ติดตั้งแอร์ 12,000 BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง ลักษณะการใช้งาน ความถี่ที่ใช้ และจำนวนคนภายในห้อง โดยทำการติดตั้งให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 26-28 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมเพื่อช่วยกระจายลมเย็น จะช่วยให้อากาศภายในห้องเย็นสบาย และเย็นได้เร็วมากยิ่งขึ้น
- ปิดแอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือทำการตั้งเวลาในการใช้งานเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟ
- หมั่นดูแลรักษาแอร์อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจสอบความผิดปกติในการทำงานของแอร์ การล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เป็นต้น
- พิจารณาเลือกใช้แอร์ 12,000 BTU ระบบอินเวอร์เตอร์ที่มีค่า SEER สูง ช่วยเพิ่มอัตราการประหยัดไฟได้มากขึ้นไปอีก
เลือกแอร์แคร์เรียร์ขนาด 12,000 BTU ประหยัดไฟ เย็นเร็ว ทนทาน
Carrier ผู้เชี่ยวชาญด้านความเย็นที่ส่งต่อความเย็นพร้อมอากาศบริสุทธิ์ และมอบความสุขให้แก่ผู้คนทั่วโลกมานานกว่า 120 ปี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมแห่งความเย็นของเครื่องปรับอากาศอย่างต่อเนื่อง ทำให้แอร์แคร์เรียร์มีความทันสมัย หลากหลาย และตอบโจทย์ทุกการใช้งาน สำหรับใครที่กำลังมองหาแอร์ขนาด 12,000 BTU ที่ประหยัดไฟ เย็นเร็ว และทนทาน ขอแนะนำ 2 รุ่นนี้เลย!
- Carrier Xinverter plus รุ่น 42TVBA013A-B-I ขนาด 12,000 BTU สีดำ
เพราะดีไซน์ที่ออกแบบมาให้มีความโดดเด่นด้วยผิวสัมผัสแบบ Hairline Texture และมีตัวเลือกถึง 5 สี จึงสามารถเข้ากับได้ทุกสไตล์ เป็นแอร์คูล ๆ ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง นอกจากมาพร้อมกับระบบการสั่งงานผ่านแอปพลิเคชัน Carrier In The Air ควบคุมการทำงานได้แบบทุกที่ทุกเวลา และเช็คค่าไฟได้แบบ Real Time แล้ว ยังเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยประหยัดไฟ และได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ห้าดาวอีกด้วย ฟีเจอร์ที่โดดเด่น ได้แก่
- เป็นแอร์แห่งนวัตกรรมของการฟอกอากาศ ระบบ X-IONIZER พร้อมแผ่นฟิลเตอร์ดักจับฝุ่น ช่วยให้บ้านมีอากาศสะอาด ปลอดภัยจาก PM2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัส
- Self cleaning เป็นระบบทำความสะอาดคอยล์เย็นอัตโนมัติหลังใช้งาน ลดความชื้น ลดกลิ่นอับ และลดการสะสมของสิ่งสกปรก
- Extra cleaning ล้างแอร์ และถอดถาดน้ำทิ้งแอร์ได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบายที่สุด
- ปลอดภัย ทนทาน และสามารถปรับการใช้งานได้เต็มที่
2. Carrier Copper-11 รุ่น 42TVEA013B ขนาด 12,000 BTU
อีกหนึ่งตัวเลือกแอร์อินเวอร์เตอร์ที่ประหยัดไฟได้จริง มีความทนทานต่อการกัดกร่อนในทุกสภาพอากาศ ด้วยวัสดุของคอยล์เย็น และคอยล์ร้อนที่เป็นทองแดง จึงช่วยยืดอายุการใช้งาน และทำให้การดูแลรักษาง่ายขึ้น นอกจากนี้ทำให้แอร์ทำงานเงียบ ไม่เกิดเสียงรบกวนแต่ก็เย็นได้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีสะดุด สามารถสั่งงานผ่านแอปฯ Carrier In the Air ได้ทุกที่ทุกเวลา หรือจะสั่งงานด้วยเสียงผ่านมือถือ หรือสมาร์ทโฟนก็ทำได้
สรุปแอร์ 12,000 BTU กินไฟกี่วัตต์? กินไฟต่อเดือนเท่าไร? เลือกซื้ออย่างไร?
แอร์ 12,000 BTU เป็นแอร์ที่มี btu เหมาะสมกับห้องขนาดกลางอย่างเช่น ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงาน ขึ้นอยู่กับประเภทของแอร์ หากเป็นแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่งเป็นระบบการควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้ส่งความเย็นออกมาอย่างคงที่ เพื่อคงระดับความเย็นอย่างต่อเนื่อง และสมดุล แต่หากเป็นแอร์ธรรมดาทั่วไป อาจเสียค่าไฟเพิ่มมากขึ้นเกือบเท่าตัว ดังนั้นการเลือกซื้อแอร์นอกจากจะพิจารณาถึงความประหยัดไฟแล้ว ความทนทานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาด้วย ใครที่กำลังพิจารณาหาซื้อแอร์ที่ตอบโจทย์เรื่องความประหยัด เย็นเร็ว ทนทาน รวมไปถึงศูนย์ซ่อม และบริการหลังการขาย ก็คงต้องพิจารณาเลือกยี่ห้อแอร์แคร์เรียร์กันหน่อยแล้ว