เครื่องปรับอากาศถือเป็นตัวช่วยสำคัญอย่างมากสำหรับคนไทยเราโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนมาก ๆ และอย่างที่ทราบกันดีว่าในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ค่าไฟจะพุ่งขึ้นสูงเป็นเท่าตัว
จนทำให้หลายคนอาจเริ่มมองหาวิธีรับมือกับปัญหาค่าไฟและสงสัยว่าเราจะเปิดแอร์โหมดไหนดี
ถึงจะประหยัดไฟที่สุด? ซึ่งบทความนี้เรามีคำตอบมาให้ พร้อมเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นฉ่ำแบบค่าไฟไม่บานปลาย
รู้จักแอร์แต่ละโหมด
ปัจจุบันนี้เครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ถูกผลิตออกมาให้มีฟังก์ชันและโหมดการทำงานที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานตามสภาพอากาศและบริบท เรามาทำความรู้จักแต่ละโหมดกัน
1. โหมด Cool (รูปเกล็ดหิมะ) ถือเป็นโหมดที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุด ซึ่งเป็นการใช้ในการทำความเย็นโดยตรง เหมาะสำหรับการใช้งานในช่วงเวลากลางวันที่ร้อนจัด ซึ่งอัตราค่าไฟจะขึ้นกับอุณหภูมิที่ตั้งไว้ ถ้าเปิดต่ำเกินไป ประมาณ 18 – 22°C คอมเพรสเซอร์จะทำงานค่อนข้างหนักและกินไฟมากกว่าโหมดอื่น ๆ
2. โหมด Dry (รูปหยดน้ำ) เป็นโหมดไล่ความชื้นในอากาศ เหมาะสำหรับในวันที่อากาศไม่ร้อนจัด แต่ให้ความรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว โหมดนี้จะช่วยให้บ้านเย็นสบายขึ้นโดยไม่ต้องเร่งอุณหภูมิให้หนาวจนเกินไป โหมดนี้จะช่วยลดความชื้นในอากาศ และกินไฟน้อยกว่าโหมด Cool เพราะคอมเพรสเซอร์ไม่ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
3. โหมด Fan (รูปพัดลม) โหมดนี้ประหยัดไฟที่สุด เพราะเป็นเพียงแค่การเปิดพัดลมภายในแอร์เพื่อหมุนเวียนอากาศเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ห้องเย็นลง ดังนั้นโหมดนี้จึงเหมาะสำหรับวันที่อากาศไม่ร้อนและใช้ร่วมกับการเปิดหน้าต่างหรือหลังจากที่ห้องเย็นลงแล้วนั่นเอง
4. โหมด Auto แอร์จะปรับอุณหภูมิและแรงลมอัตโนมัติตามสภาพอากาศภายในห้อง ใช้ง่ายและสะดวก แต่บางทีอาจไม่ตรงกับความต้องการ เช่น อุณหภูมิในห้องยังสูงหรือต่ำไป เป็นต้น
5. โหมด Sleep (รูปพระจันทร์) โหมดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับช่วงเข้านอน ซึ่งอุณหภูมิจะถูกปรับให้สูงขึ้นตามเวลา ทำให้ร่างกายไม่รู้สึกหนาวเกินไป แต่อาจไม่เหมาะสำหรับคนขี้ร้อน ช่วยประหยัดไฟได้ เพราะช่วยลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์
เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟที่สุด
หากถามว่าเปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟที่สุด คำตอบคือโหมดพัดลม แต่หากทั้งเย็นด้วยและประหยัดไฟด้วย (หรือคุ้มค่าที่สุด) คำตอบคือโหมด Dry ค่ะ เพราะแอร์จะไม่ทำงานหนักเมื่อเทียบกับโหมด Cool แต่ยังสามารถช่วยทำให้บ้านเย็นและลดความชื้นในอากาศ ให้ความรู้สึกของความเย็นสบายโดยไม่ต้องเร่งอุณหภูมินั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามหากในวันที่อากาศร้อนมากๆ เราก็ยังคงต้องใช้โหมด Cool ในการทำความเย็นอยู่นั่นเอง
ทิปเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้ประหยัดไฟมากขึ้น
- ตั้งอุณหภูมิที่ 25 – 27 °C : เนื่องจากเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับร่างกายและช่วยลดการทำงานของคอมเพรสเซอร์
- ใช้พัดลมช่วย : วิธีที่ดีที่สุดและช่วยประหยัดไฟได้จริง คือ เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 °C ให้ห้องเย็นฉ่ำก่อน (ประมาณ 30 – 45 นาที) แล้วค่อยเพิ่มเป็น 26 °C จากนั้นจึงใช้พัดลมเปิดเพื่อช่วยกระจายความเย็น วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับห้องที่ใช้แอร์มากกว่า 1 ตัว ซึ่งสามารถใช้หลักการเดียวกันได้คือเปิดแอร์ทุกตัวให้ห้องเย็นฉ่ำก่อน (เพื่อป้องกันไม่ให้แอร์หรือคอมเพรสเซอร์เสียเร็ว) จากนั้นปิดแอร์ให้เหลือที่ 1 ตัว แล้วเปิดพัดลมช่วย
- เลือกใช้แอร์ระบบ inverter : เพราะคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบตามการใช้งาน ไม่กระชากไฟเหมือนแอร์รุ่นเก่า ๆ
- ล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง : ฝุ่นที่อุดตันจะทำให้แอร์ของเราทำงานหนักขึ้นและเปลืองไฟมากขึ้น
แนะนำแอร์ Carrier สุดประหยัดไฟ ทนทาน สวยงาม
หากคุณกำลังมองหาแอร์ที่มีประสิทธิภาพ เย็นเร็ว ประหยัดไฟ และทนทาน แอร์แคเรีย XInverter Plus ซึ่งมีข้อดีดังนี้
- ช่วยประหยัดไฟด้วยระบบ inverter โดยปรับรอบการทำงานตามอุณหภูมิจริง
- เย็นเร็วได้ทันใจ แม้ว่าอากาศจะร้อนจัด แต่สามารถทำให้ห้องเย็นได้เร็ว
- ดีไซน์ใหม่สวย มีความมินิมอล และทนทาน
- รองรับการใช้งานระบบอัจฉริยะ โดยควบคุมการทำงานผ่านแอพฯ ได้
สรุปเปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟที่สุด
เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟที่สุดและคุ้มค่าที่สุด? คำตอบคือโหมด Dry ที่สามารถช่วยไม่ให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและยังคงความเย็นสบายเอาไว้ในห้องได้ และแน่นอนว่าการเลือกแอร์ที่มีคุณภาพ และช่วยประหยัดพลังงานได้ย่อมได้เปรียบ อย่างเช่นแอร์ Carrier XInverter Plus ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นฉ่ำ แถมไม่ต้องจ่ายค่าไฟแพงอีกด้วย